น้อยหน่า ชื่ออื่น ๆ หมักเขียบ (ตะวันออกเฉียงเหนือ) , ลาหนัง (ปัตตานี) , มะนอแน่,
มะแน่ (เหนือ) , หน่อเกล๊ะแซ
(เงี้ยว-แม่ฮ่องสอน) , มะออจ้า, มะโอจ่า
(เงี้ยว-เหนือ) , เตียบ (เขมร)[1] เป็นพืชยืนต้น ผลมีเนื้อสีขาว เมล็ดดำ รสหวาน
ถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบอเมริกากลาง และใต้ แต่จะพบอยู่ทั่วไปในเขตร้อน ในประเทศไทยปลูกมากทางภาคกลางและตะวันออกเฉียงเหนือ
วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556
แอ๊บเปิ้ล
แอ๊บเปิ้ล เป็นผลไม้ในตระกูล แอ๊บเปิ้ลเป็นผลไม้ที่นิยมมากที่สุดชนิดหนึ่งในโลก เป็นไม้ผลเมืองหนาว มีต้นกำเนิดในบริเวณประเทศอิหร่านในปัจจุบัน จากนั้นจึงกระจายพันธุ์ไปยังเทือกเขาคอเคซัสและลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส แล้วแพร่หลายต่อไปในทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา และดินแดนอื่นทั่วโลก ในประเทศไทยปลูกได้ในพื้นที่ภาคเหนือ เช่นที่ดอยอ่างขาง
ต้นแอ๊บเปิ้ลจะสูงประมาณ 5-12 เมตร เป็นไม้เนื้อแข็ง ใบเขียวเข้มเป็นมัน ขอบหยัก ดอกออกเป็นกลุ่มสีขาวอมชมพู ผลกลมรี มีรอยบุ๋มทั้งขั้วผลและท้ายผล ผลแอปเปิลมีเปลือกบาง สีแดง เขียว และเหลืองตามสายพันธุ์ เนื้อในเป็นเหมือนทรายละเอียดสีเหลืองนวล เมล็ดมีขนาดเล็ก สีดำ
วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556
พุทรา
ประโยชน์ของ พุทรา
พุทรา การใช้ประโยชน์จากพุทรา พุทรามีประโยชน์หลายด้านได้แก่
พุทรา การใช้ประโยชน์จากพุทรา พุทรามีประโยชน์หลายด้านได้แก่
1. ใช้เป็นอาหาร ผลสุกหรือผลแก่จัด ใช้รับประทานเป็นผลไม้ หรือนำพุทรามาเชื่อมเป็นผลไม้เชื่อม หรือนำมาทำน้ำผลไม้ หรือนำผลสุกมาตำทั้งเมล็ด ใช้ทำพุทราแผ่น ฯลฯ เป็นต้น
2. พุทรามีคุณค่าทาง โภชนาการ ในพุทรามีวิตามินซี น้ำตาล ฟอสฟอรัส และแคลเซียม ไขมัน มิวซิเลจ และอื่น ๆ
3. สรรพคุณและส่วนที่นำมาใช้เป็นยาของพุทรา
• เปลือกต้น,ใบ มีรสฝาดอมเปรี้ยว จึงมีสรรพคุณใช้แก้อาการจุกเสียด แก้ท้องเสีย แก้ท้องร่วง แก้อาเจียน
• ผลดิบ มีรสฝาด จึงมีสรรพคุณใช้เป็นยาบำรุง และแก้ไข้ ช่วยระงับอาการคนเป็นโรคประสาทอ่อน ๆ
• ผลสุก มีรสหวาน ฝาด และเปรี้ยว จึงมีสรรพคุณใช้ขับเสมหะ แก้ไอ และเป็นยาระบาย
• ผลแห้งหรือใบ หากนำปิ้งไฟ หรือคั่ว/อบให้แห้งก่อน จึงนำมาใช้ชงน้ำดื่ม จะมีสรรพคุณใช้แก้ไอ
• ราก ใช้ต้มดื่มเพื่อรักษาหรือแก้ไข้ได้ดี
• เมล็ด นำเมล็ดพุทรามาเผาไฟ แล้วป่น ใช้ทำยารักษาซางชักของเด็ก หรือตำสุมหัวเด็ก รักษาอาการหวัดคัด จมูก รักษาอาการบวม รักษาพยาธิ ฝี อาการลงท้อง และอาการตกเลือด
มะม่วง
มะม่วง เป็นไม้ยืนต้นในตระกูล Mangifera ซึ่งเป็นไม้ผลเมืองร้อนในวงศ์Anacardiaceae ชื่อวิทยาศาสตร์: Mangifera indicaเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในอินเดีย เพราะการที่ภูมิภาคนั้นมีความหลากหลายทางพันธุกรรมและร่องรอยฟอสซิลที่หลากหลาย นับย้อนไปได้ถึง 25-30 ล้านปีก่อน[1] มะม่วงมีความแตกต่างประมาณ 49 สายพันธุ์กระจายอยู่ตามประเทศในเขตร้อนตั้งแต่อินเดียไปจนถึงฟิลิปปินส์ จากนั้นจึงแพร่หลายไปทั่วโลก เป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ใบโต ยาว ปลายแหลม ขอบใบเรียบ ใบอ่อนสีแดง ออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ดอกขนาดเล็ก สีขาว ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเหลือง เมล็ดแบน เปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง
มะม่วงเป็นผลไม้เศรษฐกิจ ปลูกเป็นพืชสวน ประเทศไทยส่งออกมะม่วงเป็นอันดับ 3 รองจากฟิลิปปินส์ และเม็กซิโก เป็นผลไม้ประจำชาติของอินเดีย[3] ปากีสถาน และฟิลิปปินส์ รวมทั้งบังกลาเทศ[4]
มะม่วงจากสินธ์ ประเทศปากีสถาน
มะม่วงในออสเตรเลีย
มะม่วงมีพันธุ์มากมายดังที่ปรากฏในหนังสือพรรณพฤกษาของพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ที่กล่าวถึงมะม่วงในสมัยรัชกาลที่ 5 ไว้กว่า 50 พันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เช่น เขียวเสวย แรด น้ำดอกไม้ โชคอนันต์ อกร่อง ตัวอย่าง เช่น
เขียวเสวย เป็นพันธุ์พื้นเมืองของนครปฐม ผลยาว ด้านหลังผลโค้งนูนออก ปลายแหลม ผิวเรียบ สีเขียวเข้ม เปลือกหนา เหนียว ผลแก่รสมัน
น้ำดอกไม้ เป็นพันธุ์ที่กินผลสุก รูปร่างยาวเรียว ผลดิบเนื้อขาว รสเปรี้ยวจัด ผลสุกสีเหลืองนวล รสหวาน
อกร่องทอง เป็นพันธุ์เก่าแก่ นิยมรับประทานกับข้าวเหนียวมูน ผลค่อนข้างเล็ก มีร่องเป็นแนวยาวที่ด้านท้อง ผลสุก เนื้อละเอียด มีเสี้ยนน้อย
ฟ้าลั่น ผลกลม ท้ายแหลม ลูกขนาดกลาง นิยมรับประทานผลแก่ มีรสมัน เมื่อปอกเปลือก เนื้อมะม่วงจะปริแตก
หนังกลางวัน ผลยาวคล้ายงาช้าง แก่จัดรสมันอมเปรี้ยว สุกรสหวาน
แก้ว นิยมกินดิบ ผลอ้วนป้อม เปลือกเหนียว เมื่อเกือบสุกเปลือกจะมีสีอมส้มหรืออมแดง
โชคอนันต์ รูปร่างยาว ปลายมน กลายพันธุ์มาจากมะม่วงป่า นิยมนำไปทำมะม่วงดอง
มหาชนก เป็นลูกผสมของมะม่วงพันธุ์หนังกลางวันกับพันธุ์ซันเซ็ตจากอินเดีย ผลยาวรี สุกสีเหลืองเข้ม มีริ้วสีแดง เนื้อไม่เละ กลิ่นหอม จะสุกในช่วงที่มะม่วงพันธุ์อื่นวายแล้ว
การใช้ประโยชน์
ผลมะม่วงนำมารับประทานได้ทั้งดิบและสุก มะม่วงดิบเปลือกสีเขียวเนื้อสีขาวส่วนใหญ่มีรสเปรี้ยว ยกเว้นบางพันธุ์ที่เรียกว่ามะม่วงมัน ส่วนผลสุกจะมีสีเหลืองทั้งเปลือกและเนื้อ รับประทานสด หรือ นำไปทำเป็นอาหารเช่น ข้าวเหนียวมะม่วง อีกทั้งมีการนำไปแปรรูป เช่น มะม่วงแก้ว มะม่วงดอง มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงเค็ม น้ำแยมมะม่วง พายมะม่วง เป็นต้น[5] แบ่งมะม่วงตามความนิยมในการรับประทานเป็น 3 ประเภทคือ
นิยมรับประทานดิบได้แก่พันธุ์ที่มีรสหวานมันตอนแก่จัด เช่น เขียวเสวย แรด พิมเสนมัน ทองดำ เขียวไข่กา หรือมีรสมันตอนอ่อนไม่เปรี้ยว เช่น ฟ้าลั่น หนองแซง มะม่วงเหล่านี้เมื่อสุกแล้วจะหวานชืด ไม่อร่อย
นิยมรับประทานสุก เมื่อดิบมีรสเปรี้ยว ต้องบ่มให้สุกก่อนรับประทานเช่น อกร่อง นวลจันทร์ น้ำดอกไม้ นำไปประกอบอาหาร เช่น ใส่ในน้ำพริก ยำ
นิยมนำมาแปรรูป แก่จัดมีรสมันอมเปรี้ยว เมื่อสุกหวานอมเปรี้ยวหรือหวานชืด จึงนิยมนำมาแปรรูปเป็นมะม่วงดอง มะม่วงกวนและอื่นๆ เช่น มะม่วงแก้ว พิมเสนเปรี้ยว
นอกจากการนำมาเป็นอาหารแล้ว มะม่วงมีประโยชน์ด้านอื่นอีก ดังนี้
เนื้อไม้นำมาทำเฟอร์นิเจอร์
ใช้ยอดอ่อน ผลอ่อน มาประกอบอาหารแทนผัก
ใช้เป็นยาสมุนไพร เช่น ผลมะม่วงดิบมีวิตามินซีสูง แก้เลือดออกตามไรฟัน เป็นต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)